มีการศึกษาที่พบว่า ชาวออสเตรเลียจำนวนมากเริ่มหย่อนยานในการรักษากฎการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา แม้แต่ประชาชนในรัฐวิกตอเรียเอง ซึ่งขณะนี้อยู่ในมาตรการจำกัดที่เข้มงวด ยังพบว่ามีความบกพร่องอย่างเห็นได้ชัด
การวิจัยจากผลสำรวจ โดยมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University) ที่ได้มีการเผยแพร่ในวันนี้ (3 ก.ย.) ได้รับการจัดให้เป็นการศึกษาวิจัยแรก ที่เปรียบเทียบประสบการณ์ และทัศนะคติของประชาชนในรัฐวิกตอเรีย ที่กำลังต่อสู้กับสถานการณ์ไวรัสโคโรนา และประชาชนทั่วออสเตรเลีย
หลังจากได้ทำการสำรวจชาวออสเตรเลียมากกว่า 3,000 คน การศึกษาดังกล่าวพบว่า การคาดหวังว่าจะพบกับความเครียด ความโดดเดี่ยว และการสูญเสียตำแหน่งงาน ของผู้ที่อาศัยอยู่ในรัฐวิกตอเรียนั้นอยู่ในระดับสูงส่วนเรื่องของการรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลน พบว่า ทั่วรัฐวิกตอเรียนั้นลดลงอย่างมาก แม้ว่าพื้นที่ส่วนภูมิภาคของรัฐวิกตอเรียจะอยู่ในมาตรการจำกัดระดับ 3 และพื้นที่มหานครเมลเบิร์นจะอยู่ในมาตรการจำกัดระดับ 4 อยู่ในขณะนี้ก็ตาม
Victoria's Stage 4 restrictions have been extended by at least two weeks. Source: AFP/Getty Images
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ชาวออสเตรเลียที่ตอบแบบสำรวจจากทั่วประเทศ ร้อยละ 94.3 บอกว่า พวกเขามักจะหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านในช่วง 7 วันที่ผ่านมา แต่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตัวเลขดังกล่าวลดลงไปเหลือเพียงร้อยละ 72.2
สำหรับผู้ตอบแบบสอบถามจากทั่วประเทศ ที่มักจะหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่สาธารณะนั้น ลดลงจากร้อยละ 86.5 เมื่อเดือนเมษายน เหลือเพียงร้อยละ 55.8 ในเดือนสิงหาคม
ขณะที่กฎการเว้นระยะห่าง 1.5 เมตรระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติของผู้คนส่วนมาก แต่กลับพบว่าลดลงจากร้อยละ 96 ในเดือนเมษายน เหลือร้อยละ 86.9 ในเดือนสิงหาคม จากกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจเดียวกัน
รายงานผลการศึกษาดังกล่าวระบุว่า ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ ที่พฤติกรรมระหว่างประชาชนในรัฐวิกตอเรีย และชาวออสเตรเลียทั้งประเทศจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมาตรการจำกัดการแพร่ระบาดที่มีความแตกต่างกันในหลายรัฐและมณฑล
โดยชาวรัฐวิกตอเรียนั้นเป็นกลุ่มที่ความระมัดระวังมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความชะล่าใจกับมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม
“การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีความสม่ำเสมอในหมู่ของประชากร” ศาสตราจารย์แมทธิว เกรย์ (Mathew Grey) ผู้ร่วมจัดทำการศึกษาวิจัยฉบับดังกล่าวระบุในรายงาน
“การหละหลวมในการยึดแนวทางปฏิบัติ (เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ) เกิดขึ้นนอกรัฐวิกตอเรียมากที่สุด แต่แม้ในรัฐวิกตอเรียเอง ผู้ปฏิบัติตามแนวทางนั้นลดน้อยลง ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา”
ในตอนแรก การศึกษาวิจัยนี้ไม่ได้เก็บข้อมูลจากผู้ตอบแบบสอบถาม ถึงการใช้หน้ากากอนามัย ก่อนที่จะมีการประกาศใช้เป็นข้อบังคับทั่วพื้นที่นครเมลเบิร์น และพื้นที่ส่วนภูมิภาคของรัฐวิกตอเรีย แต่เมื่อผู้จัดทำงานวิจัยได้เริ่มเก็บข้อมูล พบว่า กลุ่มเยาวชนมีความเป็นไปได้ที่จะสวมใส่หน้ากากอนามัย คิดเป็นร้อยละ 39.3 เมื่ออยู่นอกสถานที่ และคิดเป็นร้อยละ 37.3 เมื่ออยู่ในอาคารสถานที่
ผู้จัดทำการศึกษาวิจัยระบุว่า ข้อมูลในสวนนี้ สวนทางกับการอภิปรายในสื่อมวลชน และนักการเมือง ที่ระบุว่ากลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวนั้น เป็นกลุ่มที่ไม่รักษากฎระเบียบเรื่องการรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล
“อัตราการสวมใส่หน้ากากอนามัยของกลุ่มประชากรอายุ 18 – 24 ปี นั้น เป็นอัตราส่วนเดียวกันกับประชากรที่มีอายุ 75 ปีขึ้นไป ซึ่งทั้งสองกลุ่มอายุนี้มีแนวโน้มความเป็นไปได้ที่จะสวมใส่หน้ากากอนามัยมากที่สุด” รายงานดังกล่าวระบุ
ประชาชนในออสเตรเลียต้องอยู่ห่างกับผู้อื่นอย่างน้อย 1.5 เมตร คุณสามารถตรวจดูว่ามีข้อจำกัดใดบ้างที่บังคับใช้อยู่ในรัฐและมณฑลของคุณ
รัฐบาลสหพันธรัฐออสเตรเลียยังได้มีแอปพลิเคชัน COVIDSafe เพื่อติดตามและแจ้งเตือนผู้ที่พบปะใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดมาใช้ได้จากแอปสโตร์ (app store) สำหรับโทรศัพท์มือถือของคุณ อ่านเกี่ยวกับแอปพลิเคชันนี้
รายการ เอสบีเอส ไทย ออนไลน์ ออกอากาศสดหนึ่งชั่วโมงเต็ม กดฟังได้ที่เว็บไซต์ ทุกจันทร์และพฤหัสบดี 22.00 น. (เวลาซิดนีย์/เมลเบิร์น) หลังจากนั้นฟังซ้ำได้ทุกเมื่อ
ติดตาม เอสบีเอส ไทย ทางเฟซบุ๊กได้ที่
เรื่องราวที่น่าสนใจ จาก เอสบีเอส ไทย
พิษโควิดฉุดเศรษฐกิจออสฯ ถดถอยครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี