หลังจากแคท เชอร์รีย์ และสามีของเธอหย่าร้างกันด้วยดีในปี 2018 แคทก็กลับมาใช้ชีวิตโสดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่อายุ 13 ปี
เธอหันไปหาแอปหาคู่ออนไลน์ — แต่ประสบการณ์ของเธอนั้นเลวร้ายถึงขั้นทำให้เธอเลิกคิดเรื่องการออกเดตไปตลอดชีวิต
หญิงสาวจากแอดิเลดรายนี้กล่าวว่า ผู้ชายที่เธอนัดเจอ ล้วนเบี้ยวนัดหรือยกเลิกถึง 15 ครั้งติดต่อกัน
“ฉันเป็นแฟนตัวยงของหนังรักแนว Hallmark เลยคิดมาตลอดว่าจะต้องเจอคนของตัวเองสักวัน” แคทบอกกับรายการ The Feed
“ฉันคิดว่า ถ้าคุณเป็นคนดีและมีสิ่งดี ๆ ที่จะมอบให้ ใครจะคิดว่ามันจะยาก? แต่กลายเป็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมายอะไรเลย”
แคทจำได้แม่นถึงช่วงเวลาที่เธอตัดสินใจจะอยู่เป็นโสดตลอดชีวิต

แคท เชอร์รี (Cat Cherry) เลือกจะเป็นโสดด้วยความสมัครใจและได้วางแผนชีวิตบั้นปลายของเธอแม้ไม่มีคู่ Source: Supplied
“ฉันมีความสุขกับชีวิต และมันก็แค่การไม่มีคู่ เหมือนกับที่ฉันไม่มีเฟอร์รารี” แคทกล่าว
“ถ้าเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นก็ดีไป แต่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิดถึงเป็นพิเศษ”
ชาวออสเตรเลียโสดมากกว่าที่เคย
สัดส่วนของผู้ที่อาศัยอยู่คนเดียวเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประชากรของออสเตรเลียมีแนวโน้มสูงวัยขึ้น
สำนักงานสถิติแห่งออสเตรเลีย (ABS) คาดการณ์ว่า ในปี 2046 จะมีประชากรอยู่คนเดียวระหว่าง 3.4 ถึง 4 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2021 ถึง 30 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์
นี่คือตัวอย่างหนึ่งของโมเดลจาก ABS:
นอกจากนี้ จำนวนพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวคาดว่าจะเพิ่มจาก 1.2 ล้านคนในปี 2021 เป็นระหว่าง 1.6 ถึง 1.7 ล้านคนในปี 2046 ในขณะเดียวกัน ครอบครัวพ่อเลี้ยงเดี่ยวคาดว่าจะเป็นประเภทครอบครัวที่เติบโตเร็วที่สุด
‘Boy sober’ และการลุกขึ้นมาของพลัง ‘โสด’
ปัจจุบันมีการเคลื่อนไหวเพื่อทวงคืนคุณค่าของการเป็นโสด โดยกลุ่มคนโสดเริ่มสลัดภาพลักษณ์ที่ไม่ดี เช่น สาวเลี้ยงแมว หนุ่มโสด สาวแก่ไม่มีคู่ หนุ่มเจ้าชู้ หรือคนสันโดษ
กระแส 'boy sober' เริ่มเป็นที่รู้จักในปีนี้ โดยหญิงสาวจำนวนมากเลือกที่จะหยุดออกเดตชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่าเบื่อวัฒนธรรมการออกเดตที่เป็นพิษและความเหนื่อยล้าจากแอปหาคู่
ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งชื่อ โฮป วูดดาร์ด (Hope Woodard) ได้วางกฎเกณฑ์ของการเป็น boy sober ว่า “ห้ามใช้แอปหาคู่ ห้ามออกเดต ห้ามติดต่อแฟนเก่า ห้ามความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ”
แทนที่จะไล่ตามความสัมพันธ์อย่างไม่หยุดหย่อน แนวคิดของการล้างใจจากการออกเดตก็คือการหันกลับมาโฟกัสที่การสะท้อนตัวเองและการพัฒนาตนเอง
“ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ถ้าไม่มีเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มาทำให้ฉันไขว้เขวจากตัวเองและปัญหาที่แท้จริง” โฮป ซึ่งพบว่าตนเองเคยมีแฟนมาแล้วถึง 40 คน กล่าวในวิดีโอหนึ่ง
“[การเป็น boy sober] ก็เพื่อจะหาวิธีเลิกความเสพย์ติดความโรแมนติกเสียที”
ผู้ชายบางคนก็เลือกเลิกเดตเช่นกัน — บางรายถึงขั้นเลิกไปตลอด
เควิน ชายจากรัฐนิวเซาท์เวลส์วัย 40 ต้น ๆ ต้องดิ้นรนกับวัฒนธรรมการออกเดตมาตลอดชีวิต เขาไม่เคยชอบการแสดงความรักใหญ่โต การวางแผนเดตหรู ๆ หรือการเปิดใจทางอารมณ์กับคู่รัก
“ผมไม่เคยรู้สึกอยากแต่งงานหรือมีลูกเลย” เขากล่าว
“ตอนที่ผมมีความสัมพันธ์… ผมพยายามจะเป็นคนที่ผมไม่ใช่ และพยายามยัดตัวเองเข้าไปในกรอบ”
หลังจากอายุครบ 30 ปีได้ไม่นาน เควินก็ตัดสินใจหยุดแสวงหาความสัมพันธ์ และใช้ชีวิตโสดอย่างมีความสุขมากว่า 10 ปี
“ผมอยากเกษียณเร็ว ๆ แล้วย้ายไปอยู่กลางป่า นั่งตกปลา และทำงานไม้… ได้ลองหายตัวไปเลยสักพัก” เควินกล่าว
สำหรับแคท เชอร์รีย์ ปัจจุบันอายุ 39 ปี การที่ไม่มีคู่เป็นศูนย์กลางของชีวิตนั้น ได้เปิดโอกาสให้เธอสำรวจงานอดิเรกและสิ่งที่สนใจมากขึ้น
“ฉันได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ มากมาย ฉันได้ทุ่มเทเวลาและพลังงานให้กับเพื่อนและความสัมพันธ์ใหม่ ๆ” เธอกล่าว

Being single has allowed Cat to spend more time on her interests, including hanging out with her dogs, going to the gym, doing arts and crafts and travelling. Source: Supplied
ข้อเสียของการอยู่คนเดียว
มิเชล ลิม (Michelle Lim) คือผู้บริหารของ Ending Loneliness Together เครือข่ายระดับชาติที่มุ่งจัดการกับปัญหาความเหงา เธอกล่าวว่า ชาวออสเตรเลียกำลังรู้สึกเหงามากขึ้นและนานขึ้นด้วย
ลิมกล่าวว่า ความเหงากลายเป็นปัญหาเมื่อมันยืดเยื้อนานกว่า 16 สัปดาห์ และนิยามความเหงาว่าเป็น “ความรู้สึกทุกข์ใจที่เกิดขึ้นเมื่อคุณรู้สึกว่าความสัมพันธ์ในชีวิตไม่ตอบโจทย์กับความต้องการทางสังคมในปัจจุบันของคุณ”
“หนึ่งในสามของเราจะรู้สึกเหงาในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่หนึ่งในหกของเราจะรู้สึกเหงาในระดับรุนแรง” ลิมกล่าว
ลิมยังระบุว่า การรู้สึกเหงาหรือถูกตัดขาดทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการขาดความสัมพันธ์โรแมนติก ครอบครัว หรือมิตรภาพ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
“เมื่อเรามีคนรอบตัว เราจะมีแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพมากกว่า เรามีคนที่คอยเตือนให้ไปหาหมอ” ลิมกล่าว

Michelle Lim said more Australians are experiencing problematic levels of loneliness, which can have long-term impacts on their health. Source: Supplied
“คนที่รู้สึกเหงามีแนวโน้มจะขาดงานบ่อย … และมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลงมากกว่าคนที่ไม่เหงา” ลิมกล่าว
ลิมเน้นว่า การอยู่คนเดียวกับความเหงาไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นสถานการณ์ที่เราต้องการหรือไม่
“ถ้าคนโสดรู้สึกพึงพอใจ … โดยเฉพาะกับเครือข่ายความสัมพันธ์ที่เขามีอยู่ เราก็คาดว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบด้านสุขภาพอย่างรุนแรงนัก” เธอกล่าว
ความเหงาไม่ใช่ปัญหาสำหรับแคท เธอกล่าวว่า เธอให้ความสำคัญกับการสร้างคอนเนกชันกับผู้คน และไมได้จัดลำดับความสำคัญว่าความสัมพันธ์ไหนสำคัญมากกว่ากัน
“ฉันรักเจ้านายเก่าของฉันพอ ๆ กับที่ฉันรักเพื่อนสนิทของฉัน พอ ๆ กับที่ฉันรักเพื่อนร่วมงานตอนนี้ พอ ๆ กับที่ฉันรักพ่อแม่ของฉัน” เธอกล่าว
เควินก็รู้สึกสบายใจกับการอยู่คนเดียวเช่นกัน
“ผมอยู่คนเดียวมาตลอดชีวิตผู้ใหญ่ของผม มันไม่ใช่เรื่องที่ส่งผลกระทบต่อผมเลย … ผมมีครอบครัวใหญ่ มีหลานสาวหลานชายมากมายในชีวิต” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวิกฤตค่าครองชีพ การอยู่เป็นโสดบางครั้งอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงจนเอื้อมไม่ถึง
“โลกนี้ถูกสร้างมาเพื่อคู่รัก ถ้าผมไปเที่ยว ผมก็ต้องจ่ายค่าโรงแรมแพงเป็นสองเท่า” เควินกล่าว
แม้จะสามารถซื้อบ้านสามห้องนอนได้ด้วยตัวเอง แคทก็รู้สึกตกใจกับแนวโน้มของคนโสดที่เพิ่มขึ้นทั่วออสเตรเลีย ซึ่งเธอมองว่าเป็น “วิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง”
“การเป็นโสดคืออภิสิทธิ์ และมันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถมีได้จริง ๆ” เธอกล่าว
“เหตุผลที่เรามีสังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการจับคู่มาเป็นพันปี ก็เพราะแบบนั้นแหละ”
มนุษย์ไม่ควรถูกจำกัดความด้วยสถานะความสัมพันธ์
บทสนทนาบนโต๊ะอาหารมักจะหยิบเรื่องการออกเดตขึ้นมาถามไถ่ แคทหวังว่าผู้คนจะเห็นใจคนโสดบ้าง
วลีอย่าง “คุณจะเจอคนของคุณแน่” “มันจะเกิดขึ้นกับคุณสักวัน” และ “มันจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเลิกหา” มักจะทำให้คนฟังกลอกตา
“ถ้ามีใครบอกฉันว่าแบบสุดท้ายนั้น ฉันคงชกหน้าคนพูดแน่ ๆ” แคทพูดติดตลก
แคทเชื่อว่าผู้คนยังคงมีอคติต่อการเป็นโสดระยะยาวอยู่
“ยังมีสมมติฐานว่าเรากำลังใช้ชีวิตในสภาวะที่ขาด และว่าเราไม่มีทางมีความสุขได้จริงหากไม่มีความสัมพันธ์” เธอกล่าว
“มันควรจะเลิกแปลกได้แล้วที่บางคนเป็นโสด และบางคนอาจจะไม่ได้มองหาความสัมพันธ์ เราควรร่วมสนับสนุนให้คนมีความสุขกับตัวเอง ไม่ว่ารูปแบบชีวิตเขาจะเป็นแบบไหนก็ตาม”