16 มี.ค. รัฐนิวเซาท์เวลส์ไม่พบการติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่ในชุมชน หลังก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขพบพนักงานรักษาความปลอดภัยเพศชายวัย 47 ปี ในโรงแรมกักกันโรคที่นครซิดนีย์ติดเชื้อไวรัสโคโรนา เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อรายแรกหลังไม่พบการติดเชื้อในรัฐนิวเซาท์เวลส์มาเป็นเวลาติดต่อกัน 55 วัน
โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ทำการตรวจหาเชื้อเป็นจำนวน 6,257 ครั้ง ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา (20:00 น. ของเมื่อวันอาทิตย์ จนถึงเวลาเดียวกันเมื่อค่ำวานนี้)
ยังไม่มีความชัดเจนว่า พนักงานรักษาความปลอดภัยเพศชาย ซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในโรงแรมโซฟิเทล (Sofitel) ที่นครซิดนีย์นั้น ได้รับเชื้อไวรัสโคโรนามาได้อย่างไร แต่เจ้าหน้าที่พบว่า เขาได้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาชนิดกลายพันธุ์จากประเทศอังกฤษที่มีอัตราการแพร่เชื้อในระดับสูง เช่นเดียวกับผู้เดินทางกลับมา และอยู่ระหว่างรับการกักกันโรคในห้องพักชั้นเดียวกับที่พนักงานคนดังกล่าวปฏิบัติงาน
แถลงการณ์จากหน่วยงานสาธารณสุขของรัฐนิวเซาท์เวลส์ระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้แสดงความหวังว่า อัตราการกระจายเชื้อของพนักงานรักษาความปลอดภัยคนดังกล่าวจะลดลง หลังได้รับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาของไฟเซอร์เป็นจำนวน 1 โดส ขณะที่การสืบสวนเพื่อหาแหล่งที่มาของการติดเชื้อนั้นยังคงดำเนินต่อไป
“การตรวจหาเชื้อในผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อคนดังกล่าว ซึ่งยังไม่แสดงอาการใด ๆ จนถึงขณะนี้นั้นจะดำเนินต่อไป ผู้สัมผัสใกล้ชิดที่อยู่ในครัวเรือนเดียวกันกับผู้ติดเชื้อนั้นได้รับการตรวจทั้งหมดแล้ว และมีผลลัพธ์ออกมาเป็นลบ โดยพวกเขาจะยังคงกักกันตนเองเป็นเวลา 14 วันต่อไป” หน่วยงานสาธารณสุขรัฐนิวเซาท์เวลส์ ระบุ
ทั้งนี้ มีการประกาศเตือนภัยด้านสาธารณสุขในสถานบริการต่าง ๆ รอบเมืองเฮิร์ตส์วิลล์ (Hurstville) ทางตอนใต้ของนครซิดนีย์ ซึ่งพนักงานรักษาความปลอดภัยคนดังกล่าวเคยเดินทางไปก่อนหน้านี้
ส่วนที่รัฐควีนส์แลนด์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาในวันนี้กับประชาชนราว 230 จากทั้งหมด 400 คน ที่อาจสัมผัสใกล้ชิดกับแพทย์คนหนึ่ง ซึ่งได้รับเชื้อไวรัสโคโรนาจากการปฏิบัติงานในโรงพยาบาลปรินซ์ อเล็กซานดรา (Prince Alexandra Hospital) และเดินทางไปยังสถานบริการจำนวน 4 แห่ง ในเมืองทางตอนใต้ของรัฐควีนส์แลนด์ เมื่อวันพฤหัสบดีสัปดาห์ที่ผ่านมา (11 มี.ค.)
โดยผลการตรวจหาเชื้อทั้งหมดของผู้ที่อาจสัมผัสใกล้ชิด ทั้งหมดนั้นออกมาเป็นลบ
“นั่นถือเป็นข่าวดี และทำให้เรารู้สึกโล่งใจขึ้นมาระดับหนึ่งในวันนี้” นางอนาสตาเซีย ปาลาเชย์ มุขมนตรีรัฐควีนส์แลนด์ กล่าว
แต่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ล่วงหน้า รัฐควีนส์แลนด์ได้ขยายเวลาในการล็อกดาวน์โรงพยาบาล สถานดูแลผู้สูงอายุ และสถานบริการผู้พิการทุพพลภาพไปเป็นเวลาอีก 72 ชั่วโมงตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ขณะที่ผู้เข้ารับการกักกันโรคในโรงแรมแกรนด์ แชนสเลอร์ (Hotel Grand Chancellor) ในนครบริสเบนนั้น กำลังอยู่ในระหว่างรอการตัดสินใจว่า จะมีการขยายเวลาในการกักกันโรคออกไปอีกครั้งหรือไม่ หลังเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พบผู้เข้ารับการกักกันโรค 2 รายที่อยู่ห้องแยกกันติดเชื้อไวรัสโควิด-19
โดยผู้ติดเชื้อคนหนึ่งได้แพร่เชื้อไปยังผู้ติดเชื้ออีกคน แม้ทั้งสองไม่ได้พบปะใกล้ชิดกัน และแพร่เชื้อไปยังแพทย์อีกคนในเวลาต่อมา
นางซอนยา บาร์เรตต์ (Sonya Barrette) รักษาการประธานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขรัฐควีนส์แลนด์ เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่พบหลักฐานใด ๆ ในการละเมิดมาตรการกักกันโรคภายในโรงแรมดังกล่าว
ขณะที่ผู้เข้าพักทั้งหมดที่เข้ารับการกักกันโรคภายในห้องซึ่งอยู่ชั้นเดียวกับผู้ติดเชื้อรายล่าสุดนั้น ได้รับการขยายเวลากักกันโรคต่อไปอีก 14 วัน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา
‘มั่นใจวัคซีนได้ผลเต็มประสิทธิภาพ’
ในขณะเดียวกัน มีบางประเทศที่สั่งระงับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาของแอสตราเซเนกา หลังผู้รับวัคซีนบางส่วนมีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน แต่ นางกลาดีส์ เบเรจิกเลียน มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ระบุว่า การฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนานั้น “เป็นเรื่องสำคัญ” ในการต่อสู้กับการระบาดใหญ่ครั้งนี้
“คำแนะนำด้านสาธารณสุขที่ดีที่สุดซึ่งเราได้รับในออสเตรเลียขณะนี้ นั่นก็คือวัคซีนมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน” นางเบเรจิกเลียน กล่าว
“ดิฉันมีความมั่นใจในวัคซีน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของเราทุกคน”
“หากดิฉันไม่ได้ศึกษามาก่อน ก็คงจะไม่รับการฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน ซึ่งดิฉันได้ศึกษามันแล้ว และก็รู้สึกถึงความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์” นางเบเรจิกเลียน กล่าวกับผู้สื่อข่าว
นอกจากนี้ มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ยังได้ย้ำถึงข้อเรียกร้องของเธอไปยังรัฐและมณฑลต่าง ๆ ทั่วประเทศ ในการหลีกเลี่ยงการประกาศมาตรการจำกัดห้ามการเดินทาง
“มันไม่มีเหตุผลใดในตอนนี้ที่จะจำกัดพรมแดนภายในประเทศ ในพื้นที่ใดก็ตามทั่วออสเตรเลีย” นางเบเรจิกเลียน กล่าว
“ขณะที่วัคซีนได้เริ่มทยอยเปิดตัว และการแพร่เชื้ออยู่ในระดับต่ำจนถึงเล็กน้อย มันไม่ควรที่มีการจำกัดพรมแดนภายในประเทศของเราอีกต่อไป เราควรที่จะเดินทางได้อย่างอิสระเฉกเช่นเสรีภาพที่ชาวออสเตรเลียพึงมี”
“หากรัฐหรือมณฑลใดแม้แต่ที่เดียวปิดพรมแดน ทุกคนจะเสียความมั่นใจ เนื่องจากไม่มีใครต้องการไปไหนมาไหน หากรู้ว่าจะไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้”
มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ย้ำว่า ขณะที่เทศกาลอีสเตอร์กำลังจะมาถึงในอีกไม่ถึงสัปดาห์ข้างหน้า ประชาชนต้องการความแน่นอน เพื่อให้สามารถวางแผนการเดินทางได้
“เราต้องคิดไปข้างหน้า สำหรับการรับมือกับสถานการณ์ไวรัส ระหว่างที่การเปิดตัววัคซีนต้านไวรัสกำลังดำเนินต่อไป” นางเบเจจิกเลียน กล่าว
ภายใน 3 สัปดาห์ รัฐนิวเซาท์เวลส์จะสามารถฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาเพิ่มเติม 8,000 โดสได้สำเร็จ และจะมีประชาชนกลุ่มใหม่อีก 45,000 คนที่จะเริ่มขั้นตอนในการรับวัคซีนโดยรัฐนิวเซาท์เวลส์ ได้ฉีดวัคซีนให้กับเจ้าหน้าที่ด่านหน้าเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสจากโรงแรมกักกันโรคไปยังชุมชนสูงที่สุด
NSW Premier Gladys Berejiklian has received her first dose of the AstraZeneca vaccine. Source: Getty Images AsiaPac
“ขณะที่เรากำลังจัดการกับความเสี่ยง เช่นเดียวกับในรัฐและมณฑลอื่น ๆ มันไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะปิดพรมแดนภายในประเทศ” มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าว
“นี่เป็นข่าวดี เพราะนั่นหมายความว่า เรากำลังลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อในชุมชน นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศของเราในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และเป็นโอการที่บรรดาผู้นำประเทศ ในการส่งเสริมให้พรมแดนของเรายังคงเปิดอยู่ เพื่อประโยชน์ของพลเมืองทุกคน”
‘ต้องใช้เวลา’
นางอีเวตต์ ดาร์ท (Yvette D’Ath) รัฐมนตรีสาธารณสุขรัฐควีนส์แลนด์ กล่าวว่า มีชาวรัฐควีนส์แลนด์ที่ได้รับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาโดสแรก 21,861 คน เมื่อช่วงเช้าของวันนี้
เธอกล่าวว่า ประชาชนทุกคนในกลุ่มรับวัคซีนระยะ 1A ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพที่ปฏิบัติงานด่านหน้า ผู้ปฏิบัติงานในสถานกักกันโรค และผู้เข้ารับการดูแลในสถานดูแลผู้สูงอายุนั้น จะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 30 มี.ค.นี้
ขณะที่ศูนย์วัคซีนแห่งแรกของรัฐควีนส์แลนด์ในนครโกลด์โคสต์ และศูนย์วัคซีนในหมู่เกาะทอร์เรสสเตรต ได้เริ่มต้นการฉีดวัคซ๊นให้กับประชาชนในกลุ่ม 1B แล้ว
นางดาร์ท กล่าวอีกว่า วัคซีนต้านไวรัสโคโรนาของไฟเซอร์นั้นไม่สามารถเก็บรักษาได้หลังถูกทำให้ละลายแล้ว ดังนั้น หน่วยงานสาธารณสุขรัฐควีนส์แลนด์ กำลังเริ่มที่จะนำวัคซีนที่เหลือไปฉีดให้กับผู้ปฏิบัติงานคนอื่น ๆ หากผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าไม่อยู่ในระดับขาดแคลนเข้าขั้นวิกฤต
“ไม่มีใครในกลุ่ม 1A ที่ตกหล่น หรือถูกยกเลิกนัดหมายในการมารับวัคซีนเพื่อนำไปให้กับคนอื่น ๆ วัคซีนกำลังมาถึง และพวกเขาก็กำลังจะได้รับการฉีดวัคซีน แต่เรากำลังมีวัคซีนส่วนเกินที่เหลือใช้ ซึ่งเรากำลังทำให้แน่ใจว่าจะไม่ทิ้งมันลงไปในถังขยะ” นางดาร์ท กล่าว
สำหรับประชาชนในกลุ่มรับวัคซีนระยะ 1B นั้น นางดาร์ท กล่าวว่า จะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างสมบูรณ์ในช่วงกลางเดือน มิ.ย.นี้ นอกจากนี้เธอยังได้คาดการณ์ว่า ชาวรัฐควีนส์แลนด์ทุกคนอาจได้รับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนา ภายในเดือน ต.ค.นี้
นางดาร์ท กล่าวอีกว่า เป้าหมายดังกล่าวอาจเป็นไปไมได้ หากเสบียงวัคซีนจากรัฐบาลสหพันธรัฐนั้น ต้องรอไปจนกว่าจะถึงเดือนเมษายน จึงจะได้รับการกำหนดให้เพิ่มขึ้น
“ตามความเป็นจริงก็คือ นั่นเป็นเสบียงสำหรับการฉีดวัคซีนสำหรับโดสแรก ไม่ใช่สำหรับการฉีดแบบครบโดส” นางดาร์ท กล่าว
“เรากำลังเห็นการฉีดวัคซีนในทั่วโลก แต่ดิฉันไม่คิดว่าเราถือเป็น 1% ของประชากรในโลกที่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้เวลา”
ประชาชนในออสเตรเลียต้องอยู่ห่างกับผู้อื่นอย่างน้อย 1.5 เมตร คุณควรตรวจดูว่ามีข้อจำกัดใดบ้างที่บังคับใช้อยู่ในรัฐและมณฑลของคุณ
หากคุณมีอาการของไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ให้อยู่บ้านและติดต่อขอรับการตรวจเชื้อได้ด้วยการโทรศัพท์ไปยังแพทย์ประจำตัวของคุณหรือโทรศัพท์ติดต่อสายด่วนให้ข้อมูลด้านสุขภาพเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา (Coronavirus Health Information Hotline) ที่หมายเลข 1800 020 080
คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่
เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจจากเอสบีเอส ไทย
รัฐบาลออสเตรเลียอุดหนุนเที่ยวบินสู่ 13 จุดหมายปลายทาง