ประเด็นสำคัญ
- หากลูกของคุณป่วยหนัก ควรโทร 000 เพื่อเรียกรถฉุกเฉิน
- จุดคัดแยกผู้ป่วยเป็นขั้นตอนแรกของการรักษาในแผนกฉุกเฉินที่โรงพยาบาล
- เจ้าหน้าที่ทางแพทย์ควรให้ข้อมูลกับผู้ปกครองถึงผลการวินิจฉัยและแผนการรักษา
เมื่อใดที่คุณควรพาลูกไป(Emergency Department หรือ ED)? เมื่อใดควรไปพบ (GP) ก่อน? (Urgent clinic) หรือคลินิกดูแลผู้ป่วยเร่งด่วน (Priority care clinic) คืออะไร?
“เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ลูกสาวของฉันป่วยหนักมาก เธอมีไข้สูงประมาณ 4 วันในตอนนั้น เราไปพบแพทย์ และแพทย์จ่ายยาปฏิชีวนะให้ แต่เธอก็ยังไม่ดีขึ้น เธอไม่ยอมดื่มน้ำ ฉันมองดูหน้าอกของเธอ และเห็นว่าเธอหายใจลำบาก ซี่โครงของเธอดูดตัวเข้าไป ฉันเห็นว่าเธอทรมานมาก ตอนนั้นแหละที่ฉันรู้ว่า ต้องพาไปห้องฉุกเฉินแล้ว”
เบธานี เกอร์ลิง อาศัยอยู่ในซิดนีย์ เธอตัดสินใจพาลูกสาวไปแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล

นพ.แมทธิว โอเมียรา แพทย์กุมารเวชที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลเด็กซิดนีย์
สัญชาตญาณนั้นอาจเกิดจากสัญญาณบอกเหตุหลายอย่าง บางครั้งผู้ปกครองอาจสังเกตว่าลูกดูไม่ค่อยตื่นตัว ไม่ค่อยเคลื่อนไหว ไม่ค่อยเล่น อาจมีปัญหาเรื่องการหายใจ หรือดูมีสีหน้าที่ซีดกว่าปกติหรือออกสีม่วงคล้ำ พวกเขาอาจไม่ค่อยดื่มน้ำ หรือปัสสาวะออกน้อย บางครั้งมันก็เป็นแค่ความรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง และผมอยากสนับสนุนให้ผู้ปกครองเชื่อมั่นในสัญชาตญาณนั้นนพ.โอเมียรากล่าว
หากคุณกังวลเรื่องอาการของเด็ก นพ.โอเมียรากล่าวว่ามีบริการด้านสุขภาพหลายประเภทที่ออสเตรเลีย
“มีบริการสุขภาพหลายประเภท ประเภทที่เร่งด่วนที่สุดคือการโทร 000 เพื่อเรียกรถพยาบาล หากคุณคิดว่าลูกของคุณต้องการความช่วยเหลือแบบเร่งด่วน เช่น หากพวกเขาหายใจลำบาก สีหน้าผิดปกติ หรือคุณคิดว่าพวกเขาหยุดหายใจ ไม่รู้สึกตัว หรือกำลังชัก”

If you are worried about your child and need help immediately call Triple Zero for an ambulance. หากคุณคิดว่าลูกต้องการการดูแลทางแพทย์ด่วน ควรโทร 000 เพื่อเรียกรถฉุกเฉิน Credit: kali9/Getty Images
“หรือคุณอาจลองดูว่าแพทย์จีพีหรือคลินิกฉุกเฉินให้บริการได้หรือไม่ เช่น หากเด็กมีปัญหาการหายใจแต่ไม่รุนแรง สีหน้าอาจดูผิดปกติ ดื่มน้ำน้อยกว่าปกติ หรือดูไม่ค่อยกระฉับกระเฉง หรือเมื่อคุณรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และอยากพาเด็กไปพบแพทย์ภายในวันนี้หรือพรุ่งนี้ ในกรณีนี้ การไปพบแพทย์ทั่วไปหรือคลินิกเร่งด่วนเป็นทางเลือกที่ดี”
แล้วต้องทำอย่างไร หากคุณต้องพาเด็กไปแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล?
“ไตรอาจ” (Triage) หรือจุดคัดแยกอาการผู้ป่วยเป็นจุดแรกในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อจัดลำดับความสำคัญของผู้ป่วยตามความรุนแรงของอาการ
“พยาบาลที่จุดคัดกรองจะสามารถตรวจและประเมินอาการของเด็กตามระดับความเร่งด่วนที่ควรได้รับการรักษา จากนั้นจะมีการกำหนดระดับความเร่งด่วนตามอาการ ดังนั้นผู้ป่วยที่มีอาการหนักที่สุดจะได้รับการดูแลก่อน ส่วนผู้ป่วยที่อาการน้อยกว่าจะได้รับการดูแลในเวลาที่เหมาะสม”

ข้อมูลสุขภาพของเด็ก เช่น อาการแพ้ ยาที่ใช้ และโรคประจำตัว เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าหน้าที่ที่แผนกฉุกเฉิน Credit: ozgurcankaya/Getty Images
การประเมินนี้แตกต่างกันไปในแต่ละกรณี เพราะโรคและการบาดเจ็บแต่ละประเภทอาจถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินได้
อย่างไรก็ตาม คุณโบลด์แนะนำให้เตรียมข้อมูลส่วนตัวไว้ให้พร้อม ก่อนเดินทางไปแผนกฉุกเฉิน
“เมื่อคุณมาที่แผนกฉุกเฉินของเรา ผู้ปกครองควรเตรียมบัตรเมดิแคร์ (Medicare) หรือข้อมูลด้านสุขภาพไว้ให้พร้อม รวมถึงที่อยู่กับหมายเลขโทรศัพท์ด้วย เพื่อที่เราจะได้ติดต่อคุณได้”
ข้อมูลสุขภาพของเด็กได้แก่ อาการแพ้ ยาที่ใช้อยู่ และโรคประจำตัว
อาจรวมถึงอาการที่เกิดขึ้น เวลาที่เริ่มมีอาการ ปัจจัยที่ทำให้อาการแย่ลง และการรักษาที่ได้ลองไปแล้ว
นพ.แมทธิว โอเมียราอธิบายขั้นตอนหลังจากที่ผลการประเมินสรุปว่าเด็กเป็นผู้ป่วยที่ต้องรอการรักษา
“จากนั้น พยาบาล แพทย์ หรือจะประเมินอาการอย่างละเอียด ซักประวัติ ตรวจร่างกาย และพิจารณาว่าจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมหรือไม่ เช่น การตรวจเลือดหรือเอกซเรย์ เพื่อวางแผนการรักษา”

เจ้าหน้าที่อาจต้องสังเกตอาการเด็กระยะหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเกี่ยวกับแผนการรักษา Source: iStockphoto / chameleonseye/Getty Images
เด็กส่วนใหญ่สามารถกลับบ้านได้หลังจากเข้ารับการดูแลที่แผนกฉุกเฉิน แต่บางรายอาจต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลาหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากกรณีของลูกคุณไม่เร่งด่วนเท่าผู้ป่วยรายอื่น คุณอาจต้องรอนานกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม เมื่อการวินิจฉัยอาการที่แผนกฉุกเฉินสิ้นสุดลง คุณจะได้รับข้อมูลต่อไปนี้
“คุณควรรู้ว่า เราคิดว่าลูกของคุณเป็นอะไร เราวินิจฉัยว่าอย่างไร ควรทำอะไรเมื่อกลับบ้าน สิ่งใดที่ควรกังวลและควรขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ และวิธีจัดการกับสิ่งง่าย ๆ เช่น อาการปวด การลดไข้ และการให้ของเหลว”
นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์ในแผนกฉุกเฉินควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาและการรักษา ผลกระทบและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
พวกเขาจะให้คำแนะนำว่าควรไปที่ไหน หากบุตรหลานต้องการการดูแลเพิ่มเติมด้วย
“คุณควรได้รับข้อมูลเป็นเอกสารหรือแผ่นพับ และควรเป็นภาษาที่คุณถนัดด้วย เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น และเราควรติดต่อกับแพทย์ประจำของคุณ ส่งสรุปการรักษาไปให้เขา หรือมอบสรุปให้คุณนำไปมอบให้แพทย์เอง”
คุณสามารถใช้บริการแปลภาษาและล่ามฟรีได้ที่เบอร์ 13 14 50
Australia Explained เป็นพอดคาสต์ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ในออสเตรเลีย