ประเด็นสำคัญ
- วัฒนธรรมเผาป่าเป็นแนวปฏิบัติของชนพื้นเมืองที่มีการยอมรับมากขึ้น
- การคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ชนพื้นเมืองช่วยให้ชาวอะบอริจินนำวัฒนธรรมการเผาป่ามาใช้ใหม่
- ประโยชน์ของประเพณีการเผาป่าคือช่วยบรรเทาไฟป่าและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ
กด ▶ ฟังพอดคาสต์ด้านบน
เป็นวิธีการจัดการที่ดินที่ชาวอะบอริจินในออสเตรเลียมานานหลายพันปี มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้มีบทบาทสำคัญในการดำรงชีพ การปกป้องระบบนิเวศ และการป้องกันไฟป่า
วัฒนธรรมการเผาป่ามีหลายขั้นตอน แต่หลักสำคัญคือการเผาเพื่อกำจัดหญ้าที่ขึ้นรกและเชื้อเพลิงที่สะสมอยู่ในดิน
แคทเธอรีน กูแนก ประธานของ Wunambal Gaambera Aboriginal Corporation เป็นหนึ่งในผู้สืบสานประเพณีการเผาป่าจนถึงปัจจุบัน
พ่อของฉันบอกพวกเราทุกปีว่าเราต้องเผาเพื่อเก็บเกี่ยว เช่นเดียวกับผู้เฒ่าที่รู้ว่าการเผาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินกูแนกกล่าว
![inme56e0ocfv44qprqmgz.png](https://images.sbs.com.au/04/37/a964a3644a5a804f3ff163455bfd/inme56e0ocfv44qprqmgz.png?imwidth=1280)
กูแนกเป็นหนึ่งในผู้สืบสานวัฒนธรรมการเผาป่าจนถึงปัจจุบัน Credit: Russell Ord for WGAC
อย่างไรก็ตาม ความรู้และทักษะในการประเมินเวลาที่เหมาะสมและการเผาป่าด้วยวิธีที่ถูกต้องยังคงสืบทอดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ผ่านผู้ดูแลดั้งเดิมหลายชั่วอายุคน
เมื่อไม่นานมานี้ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการไฟได้หันมาศึกษาความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมการเผาป่าจากผู้อาวุโสและชุมชนชาวพื้นเมืองออสเตรเลียมากขึ้น
กูแนกร่วมเขียนหลักฐานงานวิจัยที่บันทึกว่าสถานการณ์ไฟป่าในเขตคิมเบอร์ลีย์ ของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียดีขึ้น หลังจากที่มีการจุดไฟเผาป่าตามประเพณีของชนพื้นเมือง
“ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราได้เฝ้าติดตามสถานการณ์เพื่อหยุดยั้งไฟป่าที่เกิดขึ้น ไฟป่าของเรามีทั้งขึ้นและลง มีไฟป่าที่รุนแรงเกิดขึ้นหลายครั้ง ตอนนี้สถานการณ์กลับมาดีขึ้นแล้ว”
การวิจัยยังพบว่ากลุ่มชนพื้นเมือง 4 กลุ่มประสบความสำเร็จในการบรรเทาไฟป่ารุนแรง ซึ่งก่อนหน้านี้เคยลุกลามไปทั่วแถบทุ่งหญ้าสะวันนาบริเวณร้อนทางตอนเหนือของเขตคิมเบอร์ลีย์
“Prescribed burning” หรือที่เรียกว่า “back-burning” เป็นการเผาแบบควบคุมหรือการเผาเพื่อลดอันตราย เป็นวิธีการจัดการไฟโดยการใช้ไฟ เพื่อให้เกิดประโยชน์ด้านความปลอดภัยและเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
เทรเวอร์ ฮาวเวิร์ดผู้จัดการแบ็ก-เบิร์นนิงระดับประเทศ จากสภาการดับเพลิงและบริการฉุกเฉินของออสเตรเลเซีย (AFAC) ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกนี้
“ภูมิประเทศบริเวณนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จากภูมิประเทศที่เคยมีไฟป่ารุนแรงและลุกลามเป็นวงกว้าง กลายมาเป็นภูมิประเทศที่ได้รับการจัดการและควบคุมได้ดีขึ้นมาก ยังคงเกิดไฟป่า แต่ไม่รุนแรง และเกิดขึ้นเป็นหย่อมๆ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมของปี โดยมีชาวพื้นเมืองเป็นผู้นำและดำเนินโครงการต่างๆ ที่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์”
![qlhrbgdvvzcyrv23y0nst.png](https://images.sbs.com.au/02/da/420e1a21450f8cac1ffd98f5618f/qlhrbgdvvzcyrv23y0nst.png?imwidth=1280)
การเผาป่าตามวัฒนธรรมชนพื้นเมืองต้องใช้ทักษะในการประเมินจังหวะเวลาและใช้วิธีการเผาที่ถูกต้อง Credit: Mark Jones for WGAC
“การได้รับคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินของชนพื้นเมืองถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขามีสิทธิในการจัดการที่ดินตามที่พวกเขาต้องการ อีกหนึ่งทางเลือกก็คือการที่หน่วยงานของรัฐเป็นผู้รับผิดชอบการเผาป่าในอุทยานแห่งชาติหรือที่ดินประเภทอื่น และชาวอะบอริจินควรมีอิทธิพลเกี่ยวกับการเผาป่าในพื้นที่เหล่านั้น เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเอง”
แกเร็ธ แคทต์ ผู้จัดการหน่วยความร่วมมือทะเลทราย (Desert Partnerships) ของพันธมิตรทะเลทรายพื้นเมือง (Indigenous Desert Alliance) ซึ่งทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าชนเผ่าพื้นเมืองทั่วมณฑลนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย และรัฐเซาท์ออสเตรเลียตั้งแต่ปี 2012 เชื่อว่าความสำเร็จของการเผาป่าแบบดั้งเดิมในการป้องกันไฟป่านั้นขึ้นอยู่กับวิธีการดำเนินการและความแตกต่างของภูมิประเทศ
“หากเราพิจารณาเพรสไครป์ เบิร์นนิง ที่หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการ… วิธีที่ชนพื้นเมืองที่ผมทำงานด้วยโต้ตอบกับไฟนั้นเป็นการเรื่องการคาดคะเน โดยพิจารณาจากสภาพอากาศ เพื่อทำความเข้าใจว่าไฟจะลุกลามไปที่ใด และดินแดนบริเวณนั้นจะตอบสนองอย่างไร”
![z1m3g1kh3myzpwcl1lcn9.png](https://images.sbs.com.au/c8/58/252efc804034b687d6848addbc7a/z1m3g1kh3myzpwcl1lcn9.png?imwidth=1280)
เทคนิคการเผาป่าแถบคิมเบอร์ลีย์บางส่วนจากการเดินป่าและบางส่วนจากการเผาจสใวัฒนธรรมพื้นเมือง Credit: WGAC
สิ่งที่เราเห็นในออสเตรเลีย โดยเฉพาะตั้งแต่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในช่วงฤดูร้อนปี 2019-2020 พบว่ามีการให้ความสนใจในวัฒนธรรมการเผาป่าแบบดั้งเดิมและการจัดการไฟป่าแบบดั้งเดิมเพิ่มขึ้น เมื่อผู้คนคิดถึงไฟ พวกเขาจะคิดถึงอันตรายที่เกี่ยวข้องกับไฟและเถ้าถ่านที่หลงเหลือ แต่เมื่อนำไฟไปใช้กับภูมิทัศน์อย่างระมัดระวัง ไฟจะไม่เป็นพลังทำลายล้าง แต่เป็นพลังฟื้นฟู หากคุณใช้ไฟอย่างถูกต้อง ไฟจะเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมความหลากหลายของพืชพรรณและส่งเสริมการเติบโตใหม่ได้มากขึ้นแคทต์อธิบาย
ศาสตราจารย์แอนโธนี ดอสเซโต หนึ่งในนักวิจัยที่อยู่เบื้องหลังโดยเปรียบเทียบกับเมื่อหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ดำเนินการเผาป่าและเมื่อชนพื้นเมืองดำเนินการเผาป่าตามวัฒนธรรม พบว่าทั้งสองวิธีมีผลในเชิงบวกต่อดินในแง่ของการเพิ่มความชื้นและลดความหนาแน่น
แต่การเผาป่าตามวัฒนธรรมให้ผลดีมากกว่า
“ตัวอย่างเช่น การลดความหนาแน่นของดินมีมากขึ้น เมื่อเราพิจารณาดินที่เกิดการเผา พืชในดินเหล่านั้น เราพบว่ามีคาร์บอนและไนโตรเจนมากกว่าเมื่อเทียบกับดินที่เกิดการเผาตามคำสั่งของหน่วยงานรัฐ และแน่นอนว่าคาร์บอนและไนโตรเจนมีความสำคัญมาก เนื่องจากเป็นสารอาหารหลักของระบบนิเวศนี้”
![Cultural Burning Project.pdj.13.03.24.014.jpg](https://images.sbs.com.au/83/6e/45b8881e4042813ac15fbfc8d792/cultural-burning-project-pdj-13-03-24-014.jpg?imwidth=1280)
การเผาป่าช่วยปรับปรุงคุณภาพดินได้อย่างมาก ทั้งยังช่วยให้สารอาหารและจุลินทรีย์เติบโตได้ดียิ่งขึ้นด้วย Credit: Paul Jones (UOW)
และฮาวเวิร์ดจาก AFAC เสริมว่าการฟื้นฟูวัฒนธรรมการเผาป่ายังคงอยู่ในระยะพัฒนา และขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของผู้ดูแลดั้งเดิมในแต่ละรัฐและมณฑลด้วย
“เนื่องจากมีกลุ่มชนพื้นเมืองจำนวนมากในออสเตรเลีย และแต่ละกลุ่มมีความผูกพันกับดินแดนของพวกเขา ดังนั้นหน่วยงานในแต่ละรัฐและมณฑลต้องทำงานร่วมกับกลุ่มเหล่านี้ เพื่อทำความเข้าใจถึงความปรารถนาและความต้องการของพวกเขา และสนับสนุนพวกเขาในการพัฒนาการเผาป่าตามวัฒนธรรมของพวกเขาในดินแดนของพวกเขา”