วิกฤตที่อยู่อาศัยของออสเตรเลียยังคงเป็นประเด็นสำคัญในการหาเสียงเลือกตั้งระดับสหพันธรัฐ โดยเฉพาะในเรื่องการสนับสนุนผู้ซื้อบ้านหลังแรก
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเช่าหรือซื้อบ้าน สถาบันวิจัย กราทแทน (Grattan Institute) ชี้ว่า ปัญหาความไม่สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม มีสาเหตุสำคัญมาจาก "การขาดแคลนบ้าน"
เบรนแดน โคตส์ ผู้อำนวยการด้านที่อยู่อาศัยและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสถาบันกราทแทน กล่าวว่า
"เราไม่ได้สร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มเพียงพอเพื่อรองรับความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้น"
เขากล่าวกับเอสบีเอส นิวส์ว่า
"สาเหตุสำคัญมาจากข้อจำกัดในกฎระเบียบการใช้ที่ดินของรัฐบาลของรัฐ ที่ทำให้การสร้างบ้านใหม่ในเขตชานเมืองในเมืองใหญ่เป็นเรื่องยาก"
ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้วบริษัท มาสเตอร์ บิลเดอร์ส ออสเตรเลีย (Master Builders Australia) เปิดเผยว่านับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2010–11 ระยะเวลาเฉลี่ยในการก่อสร้างบ้านหนึ่งหลังในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นจาก 9 เดือนเป็น 12.7 เดือน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์
โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้ตัวเมือง รายงานระบุว่า มีความล่าช้าในการอนุมัติการพัฒนาโครงการ รวมถึงข้อจำกัดด้านความสูงและความหนาแน่นของอาคารขนาดใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของ "ขั้นตอนทางราชการ" ที่ทำให้การก่อสร้างล่าช้า
แม้ว่ากลไกสำคัญในการเร่งการก่อสร้างที่อยู่อาศัยจะอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐบาลของรัฐและมณฑล ซึ่งดูแลด้านการวางผังเมืองและข้อบังคับการก่อสร้าง
แต่ เบรนแดน โคตส์ ชี้ว่า รัฐบาลกลางยังคงมีบทบาทในการส่งเสริมการเพิ่มซัพพลายที่อยู่อาศัยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางที่พรรคการเมืองใหญ่ใช้ในการแก้ไขปัญหาคอขวดในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง
รวมไปถึงการเพิ่มซัพพลายที่อยู่อาศัย และรวมถึงการดำเนินการด้านต่างๆ ที่จำเป็น
นโยบายด้านที่อยู่อาศัยของพรรคการเมืองใหญ่ มีอะไรบ้าง?
สรุปข้อเสนอหลักเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยจากพรรคการเมืองใหญ่ในการหาเสียงครั้งนี้:
พรรคแรงงาน (Labor)
- ขยายโครงการ First Home Guarantee และโครงการเงินกู้แบบถือหุ้นร่วม Help to Buy ซึ่งช่วยให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรกสามารถวางเงินดาวน์เพียง 5% หรือน้อยกว่านั้นได้ ทั้งนี้ โครงการ Help to Buy จะทำให้รัฐบาลถือหุ้นในบ้านของผู้ซื้อ 30–40%
- สร้างบ้านใหม่ราคาย่อมเยา 100,000 หลัง สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก โดยเริ่มก่อสร้างในปี 2026/27
- มอบเงินสนับสนุน 10,000 ดอลลาร์ ให้แก่ผู้ฝึกงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างบ้าน (จ่ายเป็นงวด) เพื่อเร่งการสร้างที่อยู่อาศัย
- ตั้งเป้าจัดหาที่อยู่อาศัยเพื่อสังคมและราคาย่อมเยาจำนวน 55,000 หลัง ภายใน 5 ปี ภายใต้กองทุน Housing Australia Future Fund (ซึ่งพรรคร่วมมีนโยบายที่จะยกเลิกกองทุนนี้)
พรรคร่วม (Coalition)
- อนุญาตให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรก ถอนเงินจากกองทุนซูเปอร์ ได้สูงสุด 50,000 ดอลลาร์ เพื่อใช้เป็นเงินดาวน์
- อนุญาตให้ หักลดหย่อนภาษี ดอกเบี้ยเงินกู้ได้ สำหรับวงเงินกู้บ้านที่ไม่เกิน 650,000 ดอลลาร์ ในช่วง 5 ปีแรก
- จัดตั้ง กองทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบบำบัดน้ำเสียและระบบประปา เพื่อรองรับการก่อสร้างบ้านใหม่ 500,000 หลัง
- สนับสนุนธุรกิจที่จ้างผู้ฝึกงานในสาขาที่ขาดแคลนแรงงาน โดยจ่ายเงินสนับสนุน 12,000 ดอลลาร์ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี
เสนอให้ ลดระดับการย้ายถิ่นฐานสุทธิลง 100,000 คน เพื่อบรรเทาความกดดันในตลาดที่อยู่อาศัย
นโยบายเหล่านี้จะส่งผลต่อจำนวนที่อยู่อาศัยอย่างไร?
ดร.เลียม เดวีส์ อาจารย์ด้านการวางผังเมืองและความยั่งยืนแห่งมหาวิทยาลัย RMIT กล่าวว่า ทั้งสองพรรคใหญ่มีแนวทางแก้ปัญหาจำนวนที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกัน
เขากล่าวกับ SBS News ว่า พรรคร่วมมุ่งเน้นการวางโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อมก่อนการพัฒนา ผ่านกองทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์
ขณะที่พรรคแรงงานเลือกใช้แนวทางการเข้าแทรกแซงตลาดโดยตรง เช่น การลงทุนสร้างโครงการที่อยู่อาศัย 100,000 หลังสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก
อ่านเพิ่มเติม

สร้างบ้านในออสเตรเลีย: ทำไมสร้างนานแถมบานปลาย?
ในปัจจุบันเราสร้างบ้านพอไหม?
ในเดือนสิงหาคม 2023 คณะรัฐมนตรีแห่งสหพันธรัฐ (National Cabinet) ได้ตั้งเป้าหมายสร้างที่อยู่อาศัยใหม่จำนวน 1.2 ล้านหลัง ทั่วประเทศภายในปี 2029 โดยเน้นที่บ้านที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี
และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ต้องมีการสร้างบ้านใหม่ 60,000 หลังต่อไตรมาส
อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งออสเตรเลีย (Australian Bureau of Statistics) พบว่าในปี 2024 มีการสร้างบ้านและยูนิตใหม่เฉลี่ยประมาณ 45,000 หลังต่อหนึ่งไตรมาส รวมทั้งสิ้น 181,789
สถาบัน กราทแทน (Grattan Institute) ประเมินว่ามีแนวโน้มว่าออสเตรเลียจะไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างบ้านได้เพียง 900,000 หลัง ภายในห้าปี

จากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งออสเตรเลีย (Australian Bureau of Statistics) พบว่า ในปี 2024 มีการก่อสร้างบ้านและยูนิตใหม่เฉลี่ยไตรมาสละประมาณ 45,000 หลัง รวมทั้งสิ้น 181,789 หลัง Source: SBS
เนื่องจากขณะนี้ การให้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางสำหรับแต่ละหลังที่สร้างได้นั้น ขึ้นอยู่กับว่ารัฐนั้น ๆ สามารถทำตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้หรือไม่ เขากล่าวว่า
"ตอนนี้รัฐต่างๆ ไม่มีแรงจูงใจในการเร่งสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่ม เพราะแม้ว่าจะพยายามแล้ว ก็ยังยากที่จะทำได้ถึงเป้าหมายขั้นต่ำที่ตั้งไว้หนึ่งล้านหลัง ไม่ต้องพูดถึงเป้า 1.2 ล้านหลัง"
"เราจำเป็นต้องปรับลดเป้าหมายขั้นต่ำนี้ลง เพื่อให้รัฐต่าง ๆ มีโอกาสได้รับเงินสนับสนุน 15,000 ดอลลาร์ต่อหลัง ถ้าหากพวกเขาดำเนินการ" โคตส์เสนอ
รัฐบาลจะสามารถเร่งการพัฒนาได้อย่างไร?
เบรนแดน โคตส์ กล่าวว่า
"ช่วงนี้เป็นช่วงที่ยากที่สุดในรอบ 20 ปีในการสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น"
โดยเขาระบุว่าสาเหตุมาจาก ต้นทุนการก่อสร้างที่พุ่งสูงขึ้น, อัตราดอกเบี้ยที่ทำให้การขอสินเชื่อโครงการยากขึ้น, และ การขาดแคลนแรงงานฝีมือ โคตส์เสนอว่า รัฐบาลกลางสามารถ "เร่งกระบวนการ" ได้ด้วยการ
- ดึงแรงงานฝีมือจากต่างประเทศเข้ามามากขึ้น
- จัดสรรเงินทุนสนับสนุนการก่อสร้างโครงการใหม่ (ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่พรรคแรงงานนำเสนออยู่แล้ว)
ดีนิตา วอนน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ มาสเตอร์ บิลเดอร์ส ออสเตรเลีย
ประเมินว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นประมาณ 200,000 คน
เพื่อรองรับความต้องการในตลาด และได้เรียกร้องให้ เร่งกระบวนการออกวีซ่าแรงงานฝีมือ (tradie visa) หลายครั้ง พร้อมเตือนว่า ออสเตรเลียไม่สามารถปิดช่องว่างนี้ได้ด้วยแรงงานภายในประเทศเพียงอย่างเดียว
เธอกล่าวกับเอสบีเอส นิวส์ว่า
"เราทราบว่ามีแรงงานฝีมืออย่างน้อย 20,000 คนที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลียขณะนี้ แต่ประสบปัญหาในการขอรับรองทักษะและเข้ารับการอบรมเพิ่มเติม"
อ่านเพิ่มเติม

ข้อควรรู้เมื่อซื้อบ้านหลังแรก
พรรคแรงงานเดินหน้าดันโครงการเร่งรับรองแรงงานฝีมือ
พรรคแรงงานได้ประกาศโครงการมูลค่า 78 ล้านดอลลาร์ เพื่อเร่งกระบวนการรับรองคุณวุฒิของแรงงานฝีมือในอุตสาหกรรมอย่างน้อย 6,000 คน
โดยจะช่วยรับรองประสบการณ์เดิมและระบุทักษะที่ต้องการการฝึกเพิ่มเติม ซึ่งจะเปิดอบรมให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม ดีนิตา วอนน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ มาสเตอร์ บิลเดอร์ส ออสเตรเลีย ชี้ว่า โครงการนำร่องนี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ออสเตรเลียแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ที่มีกระบวนการเร่งรัดด้านแรงงานฝีมือ
พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองพรรคนำเสนอนโยบายด้านแรงงานฝีมือให้ชัดเจนต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งก่อนวันที่ 3 พฤษภาคม เธอกล่าวว่า
"ทั้งสองพรรคยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องแรงงานฝีมือเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง"
ด้าน แดน เทฮาน โฆษกฝ่ายค้านด้านการย้ายถิ่นฐาน กล่าวว่า ในกรณีที่พรรคร่วมชนะเลือกตั้งจะการตัดลดการย้ายถิ่นฐานถาวรส่วนใหญ่จะมาจากหมวดแรงงานฝีมือ
แม้ว่าวอนน์จะวิจารณ์ทั้งสองพรรค แต่เธอก็ยอมรับว่า ฝั่งพรรคร่วมมีความก้าวหน้าเหนือกว่าพรรคแรงงานในเรื่องการสนับสนุนผู้ฝึกงานเพราะ
- มีนโยบายมอบเงินสนับสนุน 12,000 ดอลลาร์ ให้แก่ผู้ประกอบการที่จ้างผู้ฝึกงานในสาขาที่ขาดแคลนแรงงาน
- พร้อมทั้งสนับสนุนโครงการของพรรคแรงงาน ที่ให้เงิน 10,000 ดอลลาร์ โดยตรงแก่ผู้ฝึกงานที่เรียนจบและผ่านการรับรองคุณวุฒิ

Master Builders Australia ระบุว่า การเพิ่มแรงงานฝีมือคือกุญแจสำคัญในการเร่งการก่อสร้างที่อยู่อาศัย
- ความล่าช้าในการอนุมัติพัฒนาโครงการ (Development Applications)
- การอนุมัติกรรมสิทธิ์ (Title Approvals)
- การออกใบรับรองการเข้าอยู่อาศัย (Occupancy Certificates)
กระบวนการเหล่านี้ล้วนลดศักยภาพในการเร่งสร้างที่อยู่อาศัย แม้ว่าความรับผิดชอบจะอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลของรัฐก็ตาม
ดีนิตา วอนน์ ยอมรับว่า พรรคแรงงานเป็นพรรคเดียวที่กล่าวถึงการทำงานร่วมกับรัฐบาลของรัฐและมณฑลเพื่อแก้ไขปัญหานี้
อย่างไรก็ตาม เธอยังชื่นชมพรรคร่วมที่ให้ความสำคัญกับการลดระเบียบข้อบังคับ
โดยในเดือนมีนาคม แองกัส เทย์เลอร์ โฆษกฝ่ายค้านด้านการคลัง ได้ให้คำมั่นว่าจะจัดตั้งคณะทำงานด้านผลิตภาพ (Productivity Taskforce) เพื่อประเมินต้นทุนของระเบียบข้อบังคับและหาทางลดความยุ่งยากทางราชการ (Red Tape)
วอนน์สรุปว่า ในขณะนี้นโยบายของทั้งสองพรรคถือว่า "สูสีกันมาก"
แต่เธอเชื่อว่า เป้าหมายการสร้างบ้าน 1.2 ล้านหลัง ภายในปี 2029 สามารถทำได้ หากปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ได้รับการแก้ไข
ควรสร้างที่อยู่อาศัยที่ไหนจึงจะเหมาะสม?
ในมุมมองด้านการวางผังเมือง เดวีส์ ระบุว่า ที่อยู่อาศัยควรสร้างในพื้นที่ที่ใกล้กับโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค เช่น สวนสาธารณะ โรงเรียน และโรงพยาบาล เพื่อเอื้อต่อการดำเนินชีวิตและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
เขาอธิบายว่า แนวทางการพัฒนาอาจทำได้สองวิธี ได้แก่
- สร้างที่อยู่อาศัยใกล้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว
- หรือสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อรองรับการเข้าถึงพื้นที่เปล่า (Greenfield Sites) ซึ่งโดยทั่วไปมักตั้งอยู่ชานเมือง
เดวีส์กล่าวเพิ่มเติมว่า
"หากคุณต้องการอยู่อาศัยในเขตเมือง นโยบายของพรรคแรงงานอาจตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณได้ดีกว่า"
"แต่หากคุณต้องการอยู่อาศัยในเขตชานเมือง นโยบายของพรรคร่วมอาจเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณมากกว่า"
เขาเน้นย้ำว่า ถึงแม้ทั้งสองแนวทางมีความสำคัญ แต่รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการ เพิ่มความหลากหลายของประเภทที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่
โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยสำหรับครอบครัว เช่น อพาร์ตเมนต์แบบ 3–4 ห้องนอน ในเขตเมือง ซึ่งยังไม่ค่อยมีในตลาด
พรรคไหนจะช่วยให้คนเป็นเจ้าของบ้านได้มากขึ้น?
เบรนแดน โคตส์ กล่าวว่า นโยบายของพรรคแรงงาน เช่น โครงการ First Home Buyer Guarantee และ โครงการเงินกู้แบบถือหุ้นร่วม
จะช่วยให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรกที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงการซื้อบ้านได้มากขึ้น ซึ่งในสถานการณ์ปกติอาจเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา
ในขณะที่โครงการ ลดหย่อนภาษีเงินกู้บ้าน ของพรรคร่วมจะให้ประโยชน์สูงสุดกับผู้มีรายได้สูง ซึ่งเดิมทีมีโอกาสซื้อบ้านได้อยู่แล้ว
โคตส์สรุปว่า
"พรรคแรงงานมีแนวโน้มที่จะช่วยเพิ่มอัตราการเป็นเจ้าของบ้านในวงกว้างได้มากกว่า ส่วนพรรคร่วมจะช่วยให้คนรวยซื้อบ้านได้หลังใหญ่ขึ้น"
ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ หรือ และ
ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก เพื่อเข้าถึงบทความ พอดคาสต์ และวิดีโอจาก SBS News, NITV และเรายังมีทีมงานที่นำเสนอข่าวสารอีกมากกว่า 60 ภาษา