เมื่อไม่นานนี้ ชาริน เฟรนช์ ล้มป่วย โดยไม่รู้สาเหตุ เธอเล่าว่า
"ฉันรู้สึกเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ชาที่แขน เจ็บกราม แน่นหน้าอก"
จนในที่สุด ครอบครัวของสามีเธอเป็นผู้เรียกรถพยาบาล เนื่องจากเธอไม่ตระหนักถึงความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น
ภายหลังชาริน เฟรนช์ คุณแม่ลูกสาม วัย 51 ปี ถูกวินิจฉัยว่าเป็นภาวะหลอดเลือดหัวใจฉีกขาดเอง (SCAD) ซึ่งเป็นโรคหัวใจที่มักเกิดในผู้หญิง และสามารถเกิดขึ้นได้แม้กับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง
"ฉันไม่เคยรู้สึกมีอาการแบบนี้มาก่อน คิดแค่ว่าขอไปอาบน้ำเดี๋ยวก็คงดีขึ้น แต่พอเดินไปตามทางเดินห้องโถงซึ่งมีระยะทางแค่ 20 เมตร ฉันก็ล้มลงกับพื้นและไม่สามารถลุกขึ้นได้" ในขณะนั้นทุกคนทุกคนออกไปดื่มกาแฟกันหมด ยกเว้นพ่อแม่สามี"
โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 34,000 คน ซึ่งเผยแพร่ในวารสารการแพทย์ของอังกฤษ (British Medical Journal) ระบุว่าประมาณหนึ่งในสามของคนที่มีอาการจะไม่โทรแจ้ง Triple-0 แม้จะมีอาการของภาวะหัวใจวาย
นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้หญิงอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังมีอาการหัวใจวาย เนื่องจากอาการอาจแตกต่างจากผู้ชาย
ดร.ลินดา วอร์รอล-คาร์เตอร์ ผู้อำนวยการองค์กร เฮอร์ ฮาร์ท (Her Heart) ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับอาการหัวใจวายในผู้หญิง
“โดยทั่วไป สื่อมักให้ความสำคัญกับภาวะหัวใจวายในผู้ชาย ขณะที่งานวิจัยพบว่าผู้หญิงมีอาการที่แตกต่างจากผู้ชายอย่างมาก ทำให้เกิดช่องว่างด้านความตระหนักรู้ ทั้งในสังคม ผู้หญิงเอง รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์”
ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์มักนำเสนออาการหัวใจวายผ่านตัวละครชาย โดยฉากที่พบบ่อยคือการเจ็บแน่นหน้าอก ซึ่งเป็นภาพจำของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในสื่อ
อย่างไรก็ตาม ดร.ลินดา วอร์รอล-คาร์เตอร์ ระบุว่า อาการเจ็บหน้าอกไม่ได้เกิดขึ้นในผู้หญิงส่วนใหญ่ที่มีภาวะหัวใจวาย
“ผู้หญิงมากถึง 60% อาจไม่มีอาการเจ็บหน้าอก ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนเข้าใจผิดว่าต้องเกิดขึ้นเสมอ"
งานวิจัยพบว่าผู้หญิงมักมีอาการปวดบริเวณกราม ร้าวไปถึงสะบัก รู้สึกหายใจไม่ออก เวียนศีรษะ คลื่นไส้ และเหนื่อยล้าอย่างรุนแรงดร.ลินดา วอร์รอล-คาร์เตอร์ ผู้อำนวยการองค์กร Her Heart
ขณะเดียวกัน งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่แยกจากการวิจัยของมหาวิทยาลัย Monash พบว่าผู้หญิงมีแนวโน้มลังเลที่จะขอความช่วยเหลือเมื่อสงสัยว่าตนเองกำลังมีภาวะหัวใจวาย
ผลสำรวจเผยว่า 35% ของผู้ตอบแบบสอบถามหญิงระบุว่าไม่ต้องการเป็นภาระของหน่วยบริการฉุกเฉิน ขณะที่ในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นผู้ชายอยู่ที่ 27%
อ่านเพิ่มเติม

จะโทรหาใครเมื่อมีเหตุฉุกเฉินในออสเตรเลีย
ด้าน รองศาสตราจารย์แคทรีน อีสต์วูด นักปฏิบัติการฉุกเฉิน จากมหาวิทยาลัย Monash ระบุว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการศึกษาเลือกที่จะติดต่อแพทย์ประจำตัวแทนที่จะโทรแจ้งหน่วยฉุกเฉิน
“พวกเธอต้องการความมั่นใจว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นภาวะหัวใจวายจริง ๆ และโดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง พวกเธอมักคิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่ำต่อการเกิดภาวะหัวใจวาย”
แต่เพศไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้บางคนลังเลที่จะโทรขอความช่วยเหลือ
รองศาสตราจารย์แคทรีน อีสต์วูด ระบุว่าจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Monash ยังพบอุปสรรคในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่
"เราพบว่าคนที่เกิดในต่างประเทศหรือพูดภาษาอื่นๆ นอกเหนือจากภาษาอังกฤษที่บ้าน จะไม่ค่อยติดต่อหน่วยฉุกเฉิน ซึ่ง
ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่หากมองอีกด้านหนึ่ง นี่คือโอกาสที่เราจะได้ให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับเมื่อไหร่ที่พวกเขาควรติดต่อหน่วยฉุกเฉิน
ซึ่งรองศาสตราจารย์ อีสต์วูด กล่าวว่า หากคุณคิดว่าจะติดต่อหน่วยบริการเหตุฉุกเฉินให้โทรทันที
โทรก่อน ตัดสินใจทีหลัง ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สะดวก นั่นคือหน้าที่ของเรา อย่าลังเลรองศาสตราจารย์ แคทรีน อีสต์วูด มหาวิทยาลัย Monash
ผู้ที่เคยใช้บริการอย่าง ชาริน เฟรนช์ บอกว่าเห็นด้วยอย่างมาก
"ฉันนึกว่าฉันแค่ติดไวรัส แล้วต้องนอนพักผ่อน เลยเลี่ยงเจอผู้คนเพราะไม่อยากให้ไปติดใคร เมื่อตอนที่รู้ตัวว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดก็ล้มบนพื้นแล้วขยับตัวไม่ได้แล้ว"
แต่เธอบอกว่าเธอรู้สึกขอบคุณที่ได้รับการรักษาพยาบาลทันเวลา และมีโอกาสรอดชีวิต
"ฉันรู้สึกขอบคุณ ฉันรู้สึกว่าชีวิตนั้นมีค่า และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องที่พิเศษ" ชาริน เฟรนช์ ให้ข้อคิด
ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ หรือ และ
อ่านเพิ่มเติม

แบ่งปันประสบการณ์ 4 หญิงไทย สาย STEMM ในแดนจิงโจ้