กด ▶ ฟังพอดคาสต์ด้านบน
เคท บราวน์ บังเอิญตรวจเจอว่าเธอเป็นมะเร็งเต้านม
"ฉันรู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ตรวจพบมะเร็งเต้านมโดยการสแกนครั้งที่ 2 อีกนัยหนึ่งคือ มะเร็งของฉันถูกตรวจพบโดยบังเอิญ เมื่อตอนที่ได้รับการวินิจฉัย ฉันอายุต่ำกว่า 50 ปี ฉันไม่เคยมีประวัติครอบครัวและไม่มีอาการใดๆ ฉันตรวจเจอในเป็นระยะที่ 3 และต้องได้รับการผ่าตัดและการฉายรังสี"
เคท เล่าว่าเมื่อเธออายุ 40 ปี เมื่อเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม เคท จำได้ว่าเคยพูดคุยกับแพทย์ทั่วไปเมื่อสองปีก่อนเกี่ยวกับการคัดกรองว่าเธอจำเป็นต้องได้รับการตรวจคัดกรองหรือไม่
แต่ในเวลานั้นเธอไม่อยู่ในข่าย และมันทำให้เธอสงสัยว่า 'จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่ตรวจ...'
"สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นนั้นมันอาจจะร้ายแรงมากสำหรับฉัน จะเกิดอะไรขึ้นหากไม่บังเอิญตรวจเจอ โอกาสที่ฉันจะสแกนหน้าอกของฉันนั้นต่ำมาก ตอนที่ตรวจเจอฉันมีเนื้องอกขนาด 4.5 เซนติเมตรซึ่งไม่ว่าตัวเองหรือศัลยแพทย์ก็ยากที่จะตรวจเจอ"
การศึกษาล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยซิดนีย์ มหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ และหน่วยงานบริการด้านสุขภาพของอัลเบอร์ตาในแคนาดา พบว่าผู้หญิง 1 ใน 20 คนทั่วโลกได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม
คาดการณ์ว่า 1 ใน 70 มีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากโรคนี้
อ่านเพิ่มเติม

เปิดประสบการณ์สาวไทยผู้พิชิตมะเร็งเต้านม
และจากข้อมูลที่บันทึกไว้ใน 185 ประเทศ พบว่าออสเตรเลียมีอัตราการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมสูงที่สุดแห่งหนึ่ง
ศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขแห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ เนแมท ฮูสซามี และผู้ร่วมวิจัยกล่าวว่า มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้อัตราการป่วยโรคมะเร็งเต้านมของออสเตรเลียอยู่ในอันดับต้นๆ
สำหรับออสเตรเลีย ส่วนหนึ่งมาจาก โครงสร้างประชากร เรามีประชากรสูงวัยมากขึ้น ดังนั้น อายุจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดประการหนึ่งสำหรับมะเร็งเต้านมศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขแห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ เนแมท ฮูสซามี
"โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป และมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีส่วนทำให้อัตราการเกิดโรคสูง ซึ่งฉันเรียกว่าเป็นโปรไฟล์ความเสี่ยงของประชากร"
ดร. ฮูซามี กล่าวว่าความเสี่ยงเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของประชากรในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งรวมถึงการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการไม่ค่อยออกกำลังกาย แต่เธอย้ำว่าเราไม่ควรตื่นตระหนกในเรื่องนี้
"หลายทศวรรษ รวมถึงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาด้วย เรามีอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมในออสเตรเลียลดลง ดังนั้นเราจึงต้องคำนึงถึงผลลัพธ์เชิงบวกนั้น"
ศาสตราจารย์ เอเดรียน เอสเทอร์แมน ประธานภาควิชาชีวสถิติและระบาดวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย กล่าวว่าตัวเลขการตรวจเจอโรคดังกล่าวอาจสูงเกินจริงเนื่องจากโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมของออสเตรเลีย
"เรามีโปรแกรมตรวจคัดกรองที่ดีที่สุดในโลก โปรแกรมนี้ไม่เพียงแต่สามารถตรวจมะเร็งเต้านมได้ แต่ยังสามารถตรวจจับเนื้องอกขนาดเล็กจำนวนมาก อาจเป็นเนื้องอกธรรมดาที่ไม่สามารถลุกลามไปสู่มะเร็งได้ แต่จากโปรแกรมตรวจคัดกรองนั้นเราจึงมีอัตราการรอดชีวิตที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อย่างไรก็ตามยิ่งมีการตรวจคัดกรองที่มากขึ้นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งพบจำนวนผู้หญิงที่ป่วยมากขึ้น มันจึงดูเหมือนเป็นดาบสองคม"
นอกจากนี้เขายังกล่าวอีกว่าการมีอัตราการตรวจคัดกรองที่สูงขึ้นจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิต
"ยิ่งตรวจพบมะเร็งได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งจะส่งผลดีเท่านั้น เพราะถ้าตรวจเจอมะเร็งที่มีขนาดเล็กมาก ก็สามารถผ่าตัดออกได้ง่าย และจะเป็นการจำกัดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอีกครั้ง แต่ทันทีที่มะเร็งเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีการแพร่กระจายของมะเร็ง และเริ่มเคลื่อนไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย - คุณจะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากขึ้น"
แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าออสเตรเลียมีการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ แต่ เคท บราวน์ยังคงกังวลเกี่ยวกับช่องโหว่ในระบบดังกล่าว
เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัว ที่ตรวจมะเร็งเจอโดยบังเอิญแล้ว เพื่อนคนหนึ่งคนหนึ่งก็ได้รับการตรวจแมมโมแกรมแต่ไม่พบเนื้องอก
หรืออีกกรณีหนึ่งที่ เพื่อนอีกคนถูกปฏิเสธจากการตรวจ GP และด้วยสภาพผิวหนังบริเวณเต้านมที่ผิดปกติจนลุกลามกลายเป็นมะเร็งเต้านม คุณ เคท เปิดเผยว่า
"โรคมะเร็งเต้านม มันอยู่ใกล้ตัวเกินกว่าที่คุณคิด เช่น เพื่อนในกลุ่มของฉันหลายคนก็เผชิญประสบการณ์คล้ายกัน ดังนั้น ฉันคิดว่าเราจำเป็นต้องทำให้การตรวจคัดกรองและการวินิจฉัย มีประสิทธิภาพมากขึ้น"
"ฉันคิดว่าการสแกนให้ผู้หญิง หรือการรณรงค์ให้ผู้หญิงตรวจเต้านม ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย และสำหรับฉันการวินิจฉัยในการตรวจหาก้อนเนื้อ มันสำคัญมาก มันไม่ได้บ่งบอกว่าคุณจะต้องเป็นมะเร็งเต้านมเสมอไป"
ระบบตรวจคัดกรองเต้านมของออสเตรเลีย หรือ BreastScreen Australia ไม่ได้ติดตามผลของคนที่ใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ หรือ แจ้งรายงานความหนาแน่นของหน้าอก และนั่นเป็นสิ่งที่ Kate Browne กังวล
"สำหรับผู้หญิงที่มีหน้าอกหนาแน่น หมายถึง การมีเนื้อเยื่อและต่อมน้ำนมมากกว่าคนอื่น ๆ การตรวจแมมโมแกรมอาจไม่สามารถตรวจเจอเนื้องอกได้ - พวกเขาต้องมีการอัลตราซาวนด์ร่วมด้วย "
ในออสเตรเลีย มีคำแนะนำสำหรับผู้หญิงอายุ 50 ถึง 74 ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมทุกๆ สองปี ผู้หญิงอายุ 40 ถึง 49 ปี และผู้ที่มีอายุมากกว่า 74 ปี ก็มีสิทธิ์ได้รับการตรวจแมมโมแกรมฟรีเช่นกัน แต่จะไม่ได้รับจดหมายเชิญ
ดร. ฮูสซามี กล่าวว่า กำลังมีการทบทวนเกี่ยวกับการตรวจคัดกรอง ในกลุ่มผู้หญิงในช่วงอายุที่กล่าวข้างต้น
"ก่อนอายุ 40 จริงๆ แล้วมะเร็งเต้านมไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ยกเว้นผู้หญิงที่อาจมีความเสี่ยงทางพันธุกรรมสูง ดังนั้น ฉันคิดว่าผู้หญิงที่กังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวที่อาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงทางพันธุกรรม ควรขอให้แพทย์ประจำครอบครัวส่งพวกเขาไปที่คลินิกพันธุกรรมเพื่อรับการประเมินความเสี่ยง"
สำหรับ เคท ขณะนี้ เธอเปิดเผยว่า ตัวเธอเอง อยู่ในระยะบรรเทาอาการได้ห้าปีแล้ว เธอชี้ว่า จำเป็นต้องมีการสนับสนุนแบบองค์รวมเพิ่มเติมแก่ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังจากสิ้นสุดการรักษา
ในฐานะหัวหน้าฝ่ายวิจัยและสื่อที่ Compare Club เคท ได้ทำการสำรวจผู้หญิง 400 คนที่เป็นมะเร็งเต้านมเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบหลังการรักษา
"คุณต้องย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เพื่อรักษาปัญหาแต่ละอย่าง และคงจะดีถ้าได้เห็นการดูแลแบบองค์รวมมากขึ้น เพื่อให้ผู้หญิงไม่รู้สึกว่าถูกปิดบังข้อมูล แต่หลังจากการรักษามันเหมือนคุณถูกทอดทิ้งให้จัดการกับปัญหาที่เจอตามลำพัง"
ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ หรือ และ
เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง

คุยกับครูสอนดนตรีไทย ผู้ร่วมแต่งเพลงประกอบซีรีส์ The White Lotus 3